วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scienctific Process)

      
หมายถึง การแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างมีกระบวนการที่เป็นแบบแผน
          มีขั้นตอนที่สามารถปฏิบัติตามได้ 

ขั้นตอนของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่เป็นเครื่องมือสำคัญของนักวิทยาศาสตร์ 
          ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่

ขั้นที่  1  การตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหา  ซึ่งเกิดจากการสังเกตซึ่งเป็นคุณสมบัติของ
           นักวิทยาศาสตร์   การสังเกตจึงเป็นขั้นแรกที่สำคัญนำไปสู่ข้อเท็จจริงและมีส่วนให้เกิดปัญหา  
ดังนั้นในการตั้งปัญหาที่ดีควรจะอยู่ในลักษณะที่น่าจะเป็นไปได้ สามารถตรวจสอบหาคำตอบได้ง่าย และยึดข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่รวบรวมมาได้

ขั้นที่  2  การสร้างสมมติฐานหรือการคาดการณ์คำตอบ  โดยต้องยึดปัญหาเป็นหลักเสมอ  
          ควรตั้งหลาย ๆ สมมติฐานเพื่อมีแนวทางของคำตอบหลาย ๆ อย่าง  แต่ไม่ยึดสมมติฐานใดสมมติฐานหนึ่งเป็นคำตอบ  สมมติฐานมีคำตอบที่อาจเป็นไปได้และคำตอบที่ยอมรับว่าถูกต้อง
เชื่อถือได้  เมื่อมีพิการสูจน์ หรือตรวจสอบหลาย ๆ ครั้ง
          ลักษณะสมมติฐานที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ 
     -  เป็นสมมติฐานที่เข้าใจได้ง่าย 
     -  เป็นสมมติฐานที่แนะลู่ทางที่จะตรวจสอบได้ 
     -  เป็นสมมติฐานที่ตรวจได้โดยการทดลอง 
     -  เป็นสมมติฐานที่สอดคล้อง และอยู่ในขอบเขตของข้อเท็จจริงที่ได้จากการสังเกตและสัมพันธ์กับปัญหาที่ตั้งไว้   

 ขั้นที่  3  การออกแบบวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล  เมื่อตั้งสมมติฐานหรือคาดเดาคำตอบหลาย ๆ 
           คำตอบไว้แล้วกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นต่อไปคือตรวจสอบสมมติฐานในการตรวจสอบสมมติฐานจะต้องยึดข้อกำหนดสมมติฐานไว้เป็นหลักเสมอ ในการตรวจสอบโดยการทดลองนั้น
ควรจะระบุ  กระบวนการทดลองที่จะปฏิบัติจริง  ควรจะมีการวางแผนลำดับขั้นตอนการทดลองก่อนหลังออกแบบการทดลองให้ได้ผลอย่างดีผู้ทดลองจะต้องควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อการทดลอง 
เรียกว่า ตัวแปร (Variable)  คือสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการทดลองซึ่งควรจะมีตัวแปรน้อยที่สุด  
           ตัวแปรแบ่งออกเป็น 3 ชนิด  คือ  ตัวแปรต้น  ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม

           
                   1)  ตัวแปรต้น ( ตัวแปรอิสระ) (Independent  variable)    คือ ตัวแปรที่ต้องศึกษาทำการตรวจสอบ  และดูผลของมัน เป็นตัวแปรที่เรากำหนดขึ้นมาเป็นตัวแปรที่ไม่อยู่ในความควบคุมของตัวแปรใด ๆ  
                   2)  ตัวแปรตาม (Dependent  variable)   คือ ตัวแปรที่ไม่มีความเป็นอิสระในตัวมันเอง เปลี่ยนแปลงไปตามตัวแปรอิสระเพราะเป็นผลของตัวแปรอิสระ               

             3)  ตัวแปรควบคุม (Controlled  variable)    หมายถึง สิ่งอื่น ๆ นอกจากตัวแปรต้นที่ทำให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อนแต่เราควบคุมให้คงที่ตลอดการทดลอง เนื่องจากยังไม่ต้องการศึกษา

ขั้นที่  4  การวิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูล  เป็นขั้นที่นำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต 

การค้นคว้า  การทดลองหรือการรวบรวมข้อมูลหรือข้อเท็จจริงมาทำการวิเคราะห์ผล  
อธิบายความหมายของข้อเท็จจริงแล้วนำไปเปรียบเทียบกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่าสอดคล้องกับสมมติฐานข้อใด           
ขั้นที่  5  การลงข้อสรุปและการสื่อสาร  เป็นขั้นสรุปผลที่ได้จากการทดลอง  การค้นคว้า
           รวบรวมข้อมูล  สรุปข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหรือการทดลองว่าสมมติฐานข้อใดถูก  พร้อมทั้ง
สร้างทฤษฎีที่จะใช้เป็นแนวทางสำหรับอธิบายปรากฏการณ์อื่น ๆ  ที่คล้ายกันและนำไปใช้ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่มนุษย์ให้ดีขึ้น




วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

ความแข็งของวัสดุ


  วันนี้  มาเรียนรู้เรื่องความแข็งของวัสดุนะ

                เมื่อนำวัสดุชนิดหนึ่งขูดบนวัสดุอีกชนิดหนึ่ง แล้วทำให้วัสดุที่ถูกขูดเกิดรอย แสดงว่าวัสดุที่ถูกขูดมีความแข็งน้อยกว่าวัสดุที่ใช้ขูด แต่ถ้าวัสดุที่ถูกขูดไม่เกิดรอย แสดงว่าวัสดุที่ถูกขูดมีความแข็งมากกว่าวัสดุที่ใช้ขูดสมบัติด้านความแข็งของวัสดุสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย เช่น เหล็กใช้ทำมีด เพราะเหล็กมีความแข็ง เพชรใช้ทำเครื่องมือตัดกระจก เพราะเพชรมีความแข็งมากกว่ากระจ "แก้ว กระเบื้อง และเหล็ก มีความแข็งมากกว่าวัสดุที่ใช้ทำเหรียญ เพราะเมื่อใช้เหรียญขูดแล้วไม่เกิดรอย ส่วนพลาสติก ไม้ และอลูมิเนียมนั้น มีความแข็งน้อยกว่าวัสดุที่ใช้ทำเหรียญ เพราะเมื่อใช้เหรียญขูดแล้วเกิดรอย"
           ดังนั้น นักธรณีวิทยาจึงได้กำกับเกี่ยวกับความแข็งของแร่ว่า แร่ที่แข็งหรือวัสดุที่แข็งกว่าจะขูดแร่ที่อ่อนให้เป็นรอยได้ แร่ที่เกิดเป็นผลึกชัดเจนจะตรวจหาความแข็งได้ง่ายและได้ค่าที่ถูกต้องที่สุด

            คาความแข็ง (Hardness) คือ คุณสมบัติอยางหนึ่งของวัสดุ รวมถึงแร ซึ่งเปนคุณสมบัติที่วัสดุสามารถทนทานหรือ หมายถึงการเสียรูปที่เกิดจากการกดทับ แตอยางไรก็ตาม ความแข็งอาจหมายรวมไปถึง ความตานทานตอการขีดขวน การดัด การขัด และการตัด           
           นอกจากนี้การวัดความแข็งของแร และวัสดุนั้น มีการประเมินมาอยางชานานโดยประเมินจาก
ความตานทานในการขีดขวนของวัตถุ เชนวัตถุ A ขีดวัตถุ B เปนรอย แตไมสามารถขีดวัตถุ C เปนรอยได ดังนั้น วัตถุ A จึงแข็งกวา วัตถุ B แตออนกวาวัตถุ C

นักธรณีวิทยาชาวเยอรมัน ชื่อ เฟดริก  โมส์   
ได้จัดระดับความแข็งของแร่ตั้งแต่อ่อนที่สุดจนถึงแข็งที่สุดไว้ 10 ระดับ ดังนี้


 ความแข็ง 1 ทัลก (Talc) 
แรหินสบู ผิวลื่นเหมือนสบูใชเล็บขูดเปนรอยไดอยางงายดาย
ทัลก์  ระดับความแข็ง 1














ความแข็ง 2 ยิปซัม (Gypsum)
แรเกลือจืด โบราณเรียกแกวแกลบ สามารถใชเล็บขูดเปนรอยได
 












ความแข็ง 3 แคลไซต (Calcite)
แรฟนหมา สามารถขูดยิปซัมเปนรอยได

ความแข็ง 4 ฟลูออไรต (Fluorite)
เปนพลอยออนชนิดหนึ่ง สามารถใชแกวขูดเปนรอยได



ความแข็ง 5 อะพาไทต (Apatite)
สามาถใชมีดขูดเปน
รอยได


ความแข็ง 6 ออรโทเคลส (Orthoclase)
แรเฟลดสปารหรือแรฟนมา bสามารถขูดแกวเปนรอยได้



ความแข็ง 7 ควอรทซ (Quartz)
แรเขี้ยวหนุมาน สามารถขูดแกวเปนรอย แตจะไมเปนรอยเมื่อถูกมีดขูด


แร่ควอตซ์ ระดับความแข็ง7















ความแข็ง 8 โทแพซ (Topaz)



ความแข็ง 9 คอรันดัม (Corundum) พลอยแข็ง หรือ กระรุน













ความแข็ง 10 เพรช (Diamond) ทําใหเกิดรอยดวยเพรชเทานั้น
เพชร  มีความแข็งมากที่สุด































 ดังนั้น  คาความแข็งของโมลส เริ่มตั้งแตออนที่สุด คือ 1 จนถึงแข็งที่สุดคือ 10  


วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

วัสดุในชีวิตประจำวัน


สวัสดีค่ะ..มาเรียนรู้เรื่องวัสดุกันนะคะ

วัสดุ   คือ สิ่งที่นำมาใช้ทำสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ถ้าสังเกตรอบๆ ห้องเรียน จะพบ
สิ่งของต่
างๆ มากมาย เช่น โต๊ะ เก้าอี้ หนังสือ อุปกรณ์การเรียน กระดานดำ แจกัน เป็นต้น
           
ในชีวิตประจำวันเราต้องเกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ทำมาจากวัสดุธรรมชาติและวัสดุที่มนุษย์สร้างขึ้น 
            
         ในอดีตวัสดุที่นำมาใช้ส่วนใหญ่ได้มาจากธรรมชาติ เช่น นำหินมากระเทาะทำเป็นขวานหิน นำดินมาปั้นเป็น หม้อ,โอ่ง,ไห นำหนังสัตว์มาใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ซึ่งต่างจากในปัจจุบันที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ของใช้ต่าง ๆ จึงผลิตมาจากวัสดุที่มนุษย์สร้างขึ้น          
         ดังนั้นวัสดุจึงมีความจำเป็นและความสำคัญมากขึ้นตามไปด้วย

ประเภทของวัสดุ
 

  
            วัสดุในชีวิตประจำวันที่นำมาใช้ในงานต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.วัสดุธรรมชาติ เป็นวัสดุที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ดิน หิน แร่ธาตุ ต้นไม้ ขนสัตว์ เส้นใยพืช เป็นต้น 


2.วัสดุสังเคราะห์  เป็นวัสดุที่ได้จากการสังเคราะห์หรือทำขึ้นมา เช่น พลาสติก เส้นใยสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ แก้ว อิฐ โฟม เป็นต้น




                นอกจากนี้ ถ้าหากพิจารณาวัสดุ โดยพิจารณาถึงสมบัติทางกายภาพซึ่งหมายถึงสมบัติของสารที่เราสังเกตได้จากลักษณะภายนอก เช่น รูปร่าง สี กลิ่น รส อุณหภูมิ จุดเดือด ความแข็ง เป็นต้น 

              ดังนั้นหากต้องจัดวัสดุออกเป็น 2 ชนิด คือโลหะและอโลหะ  

ตัวอย่างวัสดุที่เป็นโลหะ ได้แก่ เหล็ก,ทองแดง,สังกะสี,อลูมิเนียม,ทองคำ






ตัวอย่างวัสดุที่เป็นอโลหะ ได้แก่ พลาสติก,ไม้,แก้ว,ยาง,ซีเมนต์


ลองมาทำแบบฝึกหัดกันค่ะ...MixDiary_cat_11.gif

  นักเรียนบอกชนิดของวัสดุที่ใช้ทำของใช้ในตาราง  พร้อมทั้งเขียนเครื่องหมาย / ลงในช่องประเภทของวัสดุให้ตรงกับชนิดนะคะ

วัสดุ
ทำมาจาก
วัสดุชนิดใด
ประเภทวัสดุ
จากธรรมชาติ
สังเคราะห์

















เฉลย
1.  กาต้มน้ำ  ทำจากอะลูมิเนียม  เป็นวัสุสังเคราะห์
2.  ถังพลาสติก  ทำจากพลาสติก  เป็นวัสดุสังเคราะห์
3.  โต๊ะวางของ  ทำจากไม้  เป็นวัสดุธรรมชาติ
4.  กล่องโฟม  ทำจากเม็ดพลาสติก  เป็นวัสดุสังเคราะห์
5.  ผ้าเช็ดตัว  ทำจากใยฝ้าย  เป็นวัสดุธรรมชาติ

อาหารและสารอาหาร

อาหาร (food)   คือ สิ่งที่เรารับประทานได้โดยปลอดภัยและให้สารอาหารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ในประเทศไทยมักจำแนกเป็น 5 หมู่ หรือ 5 กล...